Tuesday, October 27, 2015

Ep2. ฉันไม่เคยนั่งเครื่องบิน

ในที่สุดได้เวลาแล้วขึ้นเครื่องดีกว่า มองหาเลขที่นั่งของตัวเอง มีคุณลุงคุณป้าคู่นึงนั่งอยู่ก่อนแล้ว เราจองที่นั่งติดหน้าต่าง ลุงกับป้าก็ต้องลุกให้เราเข้าไปข้างในก่อน จะยกกระเป๋าขึ้นวางก็ไม่ไหว เลยเอาวางไว้ที่วางขา ลุงใจดีบอกชั้นยกให้ไหม ก็เลยขอบคุณไป ปากมีก็ไม่บอกเค้านะว่าช่วยหน่อย ไม่หรอกเราเกรงใจต่างหาก 

เครื่องบินลำใหญ่ที่นั่งเท่าไหร่ไม่รู้ เบาะก็โอเค เราสามารถนั่งพับเพียบหรือขัดสมาธิได้ คงเพราะเราตัวเล็ก ฮ่าๆๆๆ สงสารแต่ลุงกับป้าล่ะ ตัวใหญ่คงนั่งไม่สบายเท่าไหร่ หลังจากเครื่องออกได้สักพัก และบินในระดับเพดานปกติ แอร์ก็เริ่มเสิร์ฟอาหารและ มีมาให้เลือกไทยกับฝรั่ง เราเลือกอาหารไทย เป็นข้าวผัดอะไรสักอย่างลืมแล้ว และขอน้ำชามาดื่ม แล้วก็โค้ก แต่กินได้นิดเดียวเพราะว่าจืดมาก สักพักนึกได้ว่าเราไม่ควรกินน้ำเยอะเพราะจะทำให้เข้าห้องน้ำ เลยดื่มอย่างละหน่อย เฮ้อ เรื่องอาหารก็เป็นปัญหาตั้งแต่ขึ้นเครื่องนี่ล่ะนะ กินเสร็จแล้วรีบนอน ที่รักบอกว่าให้ดื่มวอดกา เราไม่ดื่มหรอก กระนั้นก็นอนได้ เรานอนหลับก่อนที่แอร์จะมาเก็บอาหารคืนด้วยซ้ำ รู้สึกตัวตอนดึกมา อ้าวมาเก็บตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ สงสัยป้าแกหยิบส่งให้แน่เลย ก็เลยนอนต่ออีก

ตื่นมาก่อนเครื่องลง ๒ ชม ตอนนี้สว่างแล้ว พอดีช่วงที่เรานั่งมันใกล้ปีกเครื่องบิน ก็เลยได้เห็นปีกเครื่องบิน กระเพื่อมขึ้น ลง เห็นแต่เมฆขาวๆ เป็นก้อนๆๆ ท่าจะนุ่มเหมือนปุยฝ้าย อยากรู้จังสูงเท่าไหร่ตอนนี้ นึกถึงละครจักรๆวงศ์ๆ ตอนที่พระเอกเหาะขึ้นฟ้า ฮ่าๆๆ สักพักแอร์ก็มาแจกอาหารเช้า วันนี้เลือกกินอาหารฝรั่ง ก็เหมือนเดิมกินไม่ค่อยได้ มีสลัดผลไม้มา กะโยเกิร์ต ก็ได้ช่วยพยุงท้องไป พอใกล้ถึงอัมสเตอร์ดัม เครื่องบินลดระดับลง เราก็ค่อยมองเห็นแผ่นดิน เห็นน้ำ เห็นทะเล เห็นกังหันลม เห็นอะไรไม่รู้เป็นแปลง เดาว่าแปลงทิวลิป ก็นี่มันเนเธอร์แลนด์นี่ แล้วเครื่องก็แลนดิ้ง ก็ไม่สะเทือนเท่าไหร่ ขอบคุณไชน่าแอร์ไลน์ที่มาส่งเราถึงที่นี่ด้วยความปลอดภัย

นี่เราต้องต่อเครื่อง ดีจังไม่ต้องวิ่งไปหากระเป๋า ไปรอเอาตอนออกลักเซมเบิร์กเลยทีเดียว ลงเครื่องปุ๊บก็ปวดฉี่ วิ่งหาห้องน้ำ พยายามมองป้ายข้างบนไว้ ตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าเย็น หาสักพักก็เจอ โอ๊ย ปรานี หน้าตาดูไม่ได้เลย นอนซะหน้ายับยู่ยี่ พอเข้าห้องน้ำเสร็จ หาที่กดน้ำไม่เจอ เลยเดินออกมาซะอย่างนั้น น่าอายไหมล่ะ พอจะล้างมือนี่สิ หนาวสุดๆ เย็นยังกะน้ำแข็งแช่ ก็เลยได้แต่แตะๆเอามาลูบที่ตา อมๆๆ บ้วนปาก

แล้วก็ลากกระเป๋ามองหาประตูที่ต้องไปต่อเครื่อง เห็นแล้วล่ะ แต่ไปถามประชาสัมพันธ์อีกทีเพื่อความมั่นใจ พอไปตรงประตู เห็นคนต่อแถวเยอะ เลยเข้าใจว่าเป็น ตม เราเลยเตรียมพาสปอร์ตออกมา หัวดำอยู่คนเดียว เห็นมีแต่หัวแดง เคยอ่านเจอว่าถ้า ตม เห็นหัวดำมาคนเดียวเขาจะเน้นพิเศษ เพราะชื่อเสียงหญิงไทย แต่พอเราเอาให้ดูก็ไม่ถามอะไรมาก “มาหาใคร” ”มาหาเพื่อน ที่อยู่ตามกระดาษที่แปะด้านหลังพาสปอร์ต” เค้าก็พลิกดูหน่อย แล้วก็แสตมป์ให้ผ่าน เฮ้อ ค่อยโล่งอกหน่อย ผ่านตม ได้ ก็ต้องมาตรวจกระเป๋าอีกรอบ กลัวจังเลย กลัวเค้าว่าเราขนน้ำหนักเกิน แต่ก็ไม่มีอะไร ผ่านมาได้อีก ตรงนี้ยังงง ว่ามาถูกได้ไง

พ้นตรงนั้นมาแล้วก็มาถึงที่พักผู้โดยสารคนที่รอขึ้นเครื่อง ก็เจอร้านขายของต่าง ๆ เป็นพวกดิวตี้ฟรี ทั้งหลาย ชักจะหิวแล้วสิแต่ไม่มีเงิน พอค้นกระเป๋าดู โชคดีมีเกระปุกที่เราพกเหรียญ มีเหรียญยูโรประมาณ ๓๐ ยูโร มีแต่เหรียญละ ๒ ยูโร ทั้งนั้นเลย ไปหาไรกินดีกว่า เดินวนตั้งนาน ไม่รู้จะกินอะไร ได้น้ำมา ๑ ขวด แอ๊ปเปิ้ล ๑ ลูก และลูกอมเยลลี่ ๑ ถุง หมดไป ๖ ยูโร ตอนจ่ายตังค์ก็ดูว่าเค้าจ่ายยังไง พนักงานแคชเชียร์ให้โชว์ตั๋วเครื่องบินด้วย เราก็เลยเตรียมไว้ตั๋วที่ต่อไปลักเซมเบิร์ก หาที่นั่งได้ก็จัดการอาหารทันที 

แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เปิดมือถือเลย พอเปิดปั๊บข้อความเข้าทันที ที่รักโทรมาแล้ว ๓ รอบก็เลยส่งข้อความไปว่า”ปรานีมาถึงอัมสเตอร์ดัมแล้วค่ะ” ก่อนมาที่นี่เราได้เปิดโรมมิ่งไว้ เพื่อใช้เบอร์นี้ที่ต่างประเทศไทย ค่าบริการรับสายอย่างเดียวนาทีละ ๖๐ บาท ถ้าโทร เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว ส่งครั้งละเท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว สักพักที่รักก็โทรมาหา บอกว่ารออยู่ที่บ้านนะ แล้วเจอกัน คุยกันได้สักสายก็ตัดไป คงเพราะเงินหมดแล้ว ช่วงนี้ก็ติดต่อกันไม่ได้เลย

เราก็ลากประเป๋าไปนั่งจ่อที่ประตูเพื่อรอบินไปลักเซมเบิร์ก ไม่เหลวไหล ไม่อยากดูอะไรทั้งสิ้น นั่งรอเครื่องไปก็นึกไปว่าเราต้องเช็คอินที่ไหนก่อนไหมเนี่ย ถือบอร์ดดิ้งพาสมาตั้งแต่กรุงเทพฯแล้ว คิดแต่ว่าไม่น่ามีปัญหา เขาคงโคว์กันล่ะน่า เรานั่งหัวดำคนเดียวอีกละ ดื่มน้ำเยอะไปหน่อยวิ่งเข้าแต่ห้องน้ำ เข้าห้องน้ำ ๓ ครั้ง ถึงหาที่กดน้ำได้เราเซ่อมาก เฮ้อ ช่วงนี้รอมาราธอน ลงเครื่อง ๙ โมง ๒๐ รอเครื่องออกอีกที ๑๔ โมง ๒๐ รอไปเลย ๕ ชั่วโมง

และแล้วก็ได้เวลาเครื่องออก ต้องนั่งรถบัสออกไปขึ้นเครื่องล่ะ พอออกจากตัวอาคารไปขึ้นรถบัส ถึงได้รู้ว่าความหนาวเหน็บมันเป็นอย่างไร ฝนก็ตกหน่อยๆ ลมก็พัด หนาวให้ตายสิ ใส่เสื้อกล้าม และเสื้อแขนยาวแบบกันแดด แค่นั้นเอง
เครื่องบินที่ต่อนี้เป็นลำเล็ก ที่นั่งไม่มาก เราก็ได้นั่งติดหน้าต่างอีก อยากเห็นวิว ฝนตกก็ให้นึกกลัว แต่เคยอ่านหนังสือเจอ บอกว่าไม่ต้องกลัวเพราะเดี๋ยวเครื่องบินก็บินฝ่าฝนขึ้นไปเหนือเมฆแล้ว 

แต่ว่าเครื่องบินนี้มันบินไม่ไกล ไม่นานแค่ ๑ ชม ๒๐ นาที ระดับเพดานบินไม่สูงมาก ช่วงแรกก็ยังโอเค นิ่งๆ แอร์มาเสิร์ฟน้ำ ขนม เราก็เอาทั้งสองอย่าง เพราะเสียค่าเครื่องบินมาแล้วต้องกินให้คุ้ม แต่ก็ไม่กินหรอก เอาไว้อย่างนั้นล่ะ นั่งตรงปีกอีกแล้ว รู้สึกว่าจะได้ที่นั่งกลางลำทุกทีเลย ปีกมันก็ขึ้น ลง แล้วก็เอียง ทำเอาเสียวท้องเหมือนกัน จนต้องหันหน้ามามองในเครื่องแทน มีช่วงนึงมันสั่น เราก็ตกใจจับที่วางแขนแน่นเลย พอจะลงก็ไม่ค่อยนิ่มเท่าไหร่ กลัวมากเลย นึกถึงเจ้าพ่อ เจ้าที่ เจ้าทาง สวดมนต์ บอกไหนๆ ก็ให้ลูกมาแล้ว ส่งลูกให้ถึงฝั่งด้วยนะคะ 

พอเครื่องแลนด์ดิ้ง ก็เฮ้อ รอดตายแล้วปรานีเอ๊ย แล้วเราก็ต้อเดินฝ่าความหนาวและสายฝนปรอยไ ไปที่ตัวอาคารผู้โดยสาร อ้อ เดินขึ้นรถบัสไป อากาศหนาวเย็นดีจริงๆ เข้าตัวอาคารได้ ก็เข้าห้องน้ำเลย สำรวจตัวเองสักหน่อย เดี๋ยวจะเจอที่รักแล้ว บ้วนปาก ทาลิป ตอนนี้เริ่มมีบทสนทนาที่เป็นภาษาฝรั่งเศสแล้ว ไม่มีภาษาอังกฤษแล้ว สมองเริ่มเปลี่ยนโหมดทำงาน เตรียมขุดหาคำศัพท์ฝรั่งเศสที่มีอยู่น้อยนิดของเรา 

จากนั้นเสร็จแล้ว ตั้งใจว่าจะเดินออกไปช้าๆ แกล้งคนมารอสักหน่อย คิดว่าต้องเจอ ตม ตรวจอีกแน่ แต่ไม่เห็นมี พอเดินออกไปที่รอกระเป๋าก็เห็นคนรออยู่เลย เหมือนสนามบินภายในประเทศที่ดอนเมือง เราก็ไปยืนรอด้วยเหมือนกัน ไปเอารถเข็นมาก่อน ได้มาแล้ว ลากมาทางออก ดีจังสนามบินเล็ก คนน้อย เลยเจอกระเป๋าไว แล้วก็มาหาคนมารอรับ จะมาไหมน๊า ถ้าไม่มาเราจะทำไงเนี่ย แล้วก็เห็นยืนรออยู่ ยิ้มแป้นเชียวที่รัก นึกว่าจะไม่มารับน้องซะแล้ว อากาศหนาวมาก จุมพิตและสวมกอด ๑ ที เสียเวลานานไม่ได้ค่ะมันหนาว ที่รักถอดเสื้อให้ใส่ ๑ ตัว แล้วก็ช่วยกันลากกระเป๋าไปขึ้นรถ

เราลากใบเล็กที่รักลากใบใหญ่ ถึงตอนนี้เพิ่งรู้ว่าคันชักลากมันหัก โห ทำไมไม่ถนอมกระเป๋าเราหน่อยนะ โยนกันยังไงเนี่ย จอดรถตรงไหนคะ ทำไมไกลจัง บ่นเลยล่ะ เมื่อย และก็อยากอ้อน ฮ่าๆๆๆ มาถึงรถได้โอ้โห คันใหญ่ทีเดียว เอากระเป๋าไว้หลังรถ เราก็จะขึ้นรถแต่ชินเมืองไทยไปขึ้นทางซ้าย อ้าว ทำไมมีพวงมาลัย ที่รักถาม ปรานีจะขับรถเหรอ ฮ่าๆๆๆ เอาแล้วตู หน้าแตกบทที่ ๑ ก็เลยต้องเปลี่ยนที่นั่ง ที่รักมาเปิดประตูให้ มีดอกไม้ให้เรา ๑ ดอก ต้อนรับ แล้วก็จุ๊บอีก ๑ ที

เอาล่ะ ขับรถออกมา ปรานีเริ่มตื่นเต้นกับรถแล้ว แล้วเหลือบไปเห็นที่แสดงอุณหภูมินอกรถ แม่เจ้า ๔ องศา มิน่าล่ะ เราถึงหนาวไปถึงกระดูกเลย สำรวจรถแล้ว ที่รักก็เริ่มเปิดแอร์ร้อน เอ๊ย จริงอ่ะ แอร์ร้อน ที่บ้านเรามันแอร์เย็นเนาะ เอาล่ะ ชีวิต ๒ ขั้วโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว พอจ่ายตังค์ค่าที่จอดรถ ก็ไม่มีคนมารับบัตรเลย เอาบัตรเสียบไป แล้วหยอดเงิน ว้าว สุดยอด ฮ่ๆๆๆ บ้านนอก ๆๆๆ ไปบ้านเรากันเถอะ

บันทึก เมษายน ๒๐๐๘




No comments:

Post a Comment