Thursday, November 12, 2015

บาบีคิว

อีกอย่างที่คู่กับฤดูร้อนที่นี่คือการย่างบาบีคิวกิน ทุกบ้านเลย สลับกันไป บ้านเราก็ทำกินบ่อยเหมือกัน แต่กินกันสองคน ฮ่าๆๆ อยากโรแมนติก มีเรื่องตลกเกี่ยวกับย่างบาบีคิวหลายเรื่องเลย เรื่องแรกกับสามีเราเอง หลังจากเราย่างบาบีคิวไปสองรอบแล้วทีนี้ไม้เชื้อเพลิงมันหมด สามีก็ไม่ได้ไปซื้อ งวดนี้ไม่อยากซื้อก็เลยบอกเราว่าจะพาไปหาไม้ ทีแรกฟังไม่รู้เรื่องหรอก คิดแต่ว่าเค้าจะพาไปซื้อไม้ที่ร้านค้า แต่ปรากฏว่าเค้าไปเอากะบะมาใส่รถสองกะบะ ขับรถออกไปนอกเมือง พอไปถึงป่าสนก็ขับรถเข้าไปจอด ก็ไม่ลึกหรอก ยังพอเห็นถนนอยู่ พอลงรถได้สามีก็ไปเปิดหลังรถยกกะบะลงมา แล้วก็ขวาน เราน่ะใจไม่ดีตั้งแต่ขับรถเข้ามาในป่าสนแล้ว คิดถึงในหนังฆาตกรรมฝรั่งที่หลอกเข้ามาในป่าแล้วก็ฆ่า ยิ่งมาเห็นสามีถือขวานในมือยิ่งแล้วใหญ่ นึกในใจ โหที่รัก ก่อนหน้านี้เรายังรักกันอยู่ดีๆ ทำไมแป๊บเดียวถือขวานพาเมียเข้าป่าซะแล้ว คิดไรอยู่หรอจ๊ะ ฮ่าๆๆ แต่ก็คิดในใจอย่างเดียว ไม่ได้บอกสามีในสิ่งที่คิดด้วย เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นชี้โพรงให้กระรอก ฮ่าๆๆๆ สรุปเราต้องหาฟืนให้ได้คนละกะบะ เพื่อจะไปย่างบาบีคิวกัน

 photo bbq.jpg
อีกเรื่องคือเกี่ยวกับเพื่อนบ้าน วันนึงเจ้าของบ้านที่เราเช่าเค้าก็ย่างบาบีคิวกินกันนี่ล่ะ ทำกินกันหลังบ้าน มีกันหลายคน แล้วเราต้องไปเก็บผ้าที่ตากไว้หลังบ้าน ภาษาก็ยังพูดไม่เป็นเลย เริ่มคิดหนักว่าถ้าเค้าชวนเราไปกินบาบีคิวเราจะตอบว่าไง เอ หรือว่าเราจะไปเก็บตอบเค้ากินกันเสร็จแล้ว ฮ่าๆๆๆ ก็เลยตัดสินใจไปเก็บผ้า ข้ามรั้วไป พยายามไม่หันไปมอง เก็บผ้าแบบรีบ พอเงยหน้าขึ้นมา ปะกับเพื่อนบ้าน ปรากฎว่าเค้าแค่ทักสวัสดีเรา แล้วก็หันไปย่างบาบีคิวต่อ โอ๊ย ปรานีเอ๊ย ฮ่าๆๆ ก็คิดว่าจะเหมือนบ้านเราะอ่ะเนอะ เวลาทำไรกิน ใครผ่านไปผ่านมาถ้ารู้จักก็เรียกมากินด้วย ลืมไปว่าที่นี่ยุโรปไม่ใช่เมืองไทย

อีกเรื่องคือกับครอบครัวสามี เป็นครั้งแรกที่ไปเจอครอบครัวสามีครบชุดก็ตอนไปกินบาบีคิวนี่ล่ะ บาบีคิวกินกับ สลัดผัก มันฝรั่งต้ม เราล่ะนึกอยากได้น้ำจิ้มซีฟู้ดเลยล่ะ คงจะอร่อยลิ้นกว่านี้ แต่ก็กินได้เยอะเหมือนกัน เราชอบกินซี่โครงหมู แต่พวกไส้กรอกไม่ชอบเลย มีตลกอีกคือ กินเหลือเยอะ ก็บอกให้คนนั้นคนนี้เอากลับไปกินที่บ้าน แต่ไม่มีใครเอา ทำไงดีบ้านแม่สามีไม่มีหมา แม่สามีก็คิดถึงดาเนีย ก็เคยเลี้ยงกันนานอยู่เหมือนกัน สามีชอบเอาไปดาเนียไปฝากบ้านแม่ แม่สามีก็ห่อใส่ถุงให้บอกไว้ให้ดาเนียกินพรุ่งนี้นะปรานี น่าน มากำชับกับเราอีก เราก็รับคำค่ะ ตามมารยาทสะใภ้ที่ดี ต้องทำคะแนนหน่อย ฮ่าๆๆ ปรากฏว่าพอวันรุ่งขึ้น ปรานีหิวอ่ะ เพราะเช้าก็ไม่ได้กินข้าว กลางวันก็กินขนมปัง ไม่อิ่ม หยิบของฝากดาเนียมากินก่อน พออิ่มที่เหลือค่อยให้ดาเนีย ฮ่าๆๆๆ อายจัง แต่เรื่องนี้มีสามีคนเดียวที่รู้นะ

Friday, November 06, 2015

ฤดูร้อนเบลเยียม

ฤดูร้อนที่นี่ อากาศสบายดีจัง แต่สำหรับเรายังหนาวๆ อยู่ ไปไหนยังต้องใส่เสื้อแขนยาว คนที่นี่ดูคึกคักดีจัง บ้านไหนๆ ก็ได้ยินเสียงตัดสนามหญ้า บางบ้านก็เป็นรถพวงมาลัยขับ บ้างก็เข็นเหมือนรถเข็น จับพลั่ว จับดอกไม้ ต้นไม้ มาประดับหน้าบ้าน ทำสวน ติดหน้าประตู วางข้างหน้าต่าง สีสันสดใจจริงๆ ยิ่งเข้ากับบ้านใหญ่เลย บ้านหินสีดำ เทา กับดอกไม้สีสดใส ใบไม้สีเขียว แถมบางบ้านก็ยังมีไม้เลื้อยตามผนังบ้านอีก ต่างคนต่างจัดมุมเก้าอี้ให้ได้รับแสงแดดอย่างเต็มที่ น่าสนุกดีแฮะ
Photobucket

เราก็ทำเหมือนกัน เตรียมกระถางมา ดิน ปุ๋ย ดินที่นี่ต้องซื้อนะคะ ไม่ได้ไปขุดไปหาเอาง่ายๆเหมือนบ้านเรา เตรียมดินเสร็จเอาลงกระถาง เอาเมล็ดผักที่ติดมาจากเมืองไทยได้มาผักชีจีน ผักชีลาว พริก แค่นี้ล่ะ ส่วนดอกไม้ไม่ได้เอามา ก็ปลูกดอกไม้บ้านเค้าละกัน ถนอมกันเต็มที่ สามีก็จัดการสนามดาเนีย เพิ่มหญ้าหน่อยเลยปลูกหญ้าลงไป ตอนแรกเราไม่รู้ว่าเป็นเมล็ดหญ้า พอเตรียมแปลงดอกไม้เสร็จ ลงแปลงเรียบร้อย ก็ไปเอาเมล็ดหญ้ามาหว่านคลุมแปลง เพราะนึกว่าแกลบ เหอ เหอ มารู้เอาตอนที่เห็นต้นหญ้าเล็กๆ มันแหลมๆ ขึ้นมายังกะกล้าข้าว โอ๊ย อยากจะเอาหัวโขกหินนัก แล้วดิชั้นก็ต้องมานั่งถอนมันออกจากแปลงดอกไม้ สามีได้แต่สมน้ำหน้า หัวเราะหึๆ ไม่รู้จักถามก่อน ฮ่าๆๆๆ
Photobucket

จากนั้นก็รดน้ำใส่ปุ๋ย โตไวๆ นะลูก แม่อยากเห็นเต็มแก่แล้ว ปรากฎว่ารอบแรกปลูกไม่ค่อยขึ้นเลย สามีได้ลงอีกรอบนึง บอกเราว่าคราวนี้จะเป็นคนปลูกเอง เรามีหน้าที่แค่รดน้ำพอ ฮ่าๆๆๆ ว่าเรามือปลูกดอกไม้ไม่ขึ้นว่างั้นเหอะ เราก็ต้องยอมรับน่ะสิ จากนั้นก็ดูแลกันต่อ เวลาไปเที่ยวไหนๆ ก็คิดถึงแต่ดอกไม้ อยากกลับมาดูไวๆ อยากดูว่ามันออกดอกหรือยัง ปลูกตั้งแต่มาถึง เมษายน จน ปลายมิถุนายน ดอกไม้ยังไม่ให้ดอกเลย โอ๊ย อยากจะบ้าตาย พริกก็สูงแค่ฝ่ามือเราเอง ย้ายไปลงดินก็แล้วก็ไม่โต ตะไคร้ได้มาจากตลาด เอามาลงแปลง ก็ไม่แตกกอสักที สงสัยจะรักสันโดษ ฮ่าๆๆๆ ผักชีลาวของดิชั้นก็ขึ้นนิดเดียว กินไม่เต็มทีเลย ไปลงแปลงใหม่ก็ไม่ขึ้น เห็นผลแต่ผักชีจีนที่ขึ้นเขียวขจีสีดสดใสให้เราได้ชื่นใจ และก็มะเขีอเทศ พันธุ์ลูกเล็กที่ไว้ใส่ส้มตำ เราก็เอาไปใส่ตำแครอท
Photobucket

พอเดือนกรกฎาคม ดอกไม้เริ่มออกดอกแล้ว ทีนี้เริ่มบานทีละเล็กละน้อย จนเต็มสวนเลยทีเดียว ดอกทานตะวันก็เหลืองสวยเชียว โอ๊ย มีความสุขจังเลย เอาเปลมาแขวนนอนเล่น เอาร่มมากางเล่น ทำเป็นฮอลิเดย์เต็มที่กะดาเนีย ไม่น่าเชื่อว่าจะออกดอกมากขนาดนี้ เราก็จับดาเนียมาเป็นนางแบบให้เรา แล้วก็ถ่ายรูปๆ เอาไปอวดพ่อกับแม่ที่เมืองไทย

Photobucket

Wednesday, November 04, 2015

สำรวจเมือง

มาเขียนต่อเรื่องเบลเยี่ยม ต้องนั่งระลึกชาติเลยทีเดียว เพราะมันเกือบปีแล้วเนี่ย แต่ก็ยังอยากเขียนเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ ครั้งหนึ่งในชีวิตที่คิดแบบนี้ 555


มาอยู่ได้สักพัก ก็เริ่มที่จะกล้าไปไหนคนเดียวแล้ว โชคดีมาถึงตอนเข้าหน้าร้อนของที่นี่ มีแดดเกือบทุกวัน (ร้อนตายละ) แต่ไปไหนมาไหนก็ยังต้องใส่เสื้อกันหนาวอยู่ดี

Photobucket


ที่รักไปจัดการหาจักรยานให้เรา ที่เก็บรถมีจักรยานอยู่ 4 คัน ถามว่าทำไมมีเยอะจัง อยู่คนเดียว (แอบคิดในใจเคยมีครอบครัวแล้วหรือไงเนี่ย 555 ) ก็ได้คำตอบว่า มีคันเดียว คันที่ใหม่สุด นอกนั้นเป็นของเจ้าของบ้านเช่า เขาเอาจักรยานมาเก็บไว้ที่นี่ สรุปคันใหม่สุดเป็นของที่รัก ส่วนคันเก่าของเจ้าของบ้านเช่า 1 คัน เป็นของเรา (ไม่ซื้อใหม่นะคะ ประหยัดค่ะ ) แต่ว่ามันต้องเปลี่ยนอะไหล่ เพราะว่าจอดไว้นานแล้ว ก็ไม่มากหรอก เปลี่ยนแค่ ยางใน ยางนอก 2 ล้อ เบรก โซ่ แค่นั้นเอง และก็เพิ่มกระดิ่ง กะตะแกรงหน้ารถให้เรา กะไฟท้าย (เกือบๆซื้อใหม่เลย ไม่เปลี่ยนแต่โครงรถ เหอ ๆ ) แต่ได้เดินดูราคาจักรยานที่นี่แล้ว แพงมหาโหด (ช่วงแรกๆ ปวดหัวมากกับการคำนวณเป็นค่าเงินบาท ) ที่รักบอกจักรยานผมที่ซื้อนี่ 500 ยูโร เราก็อ้าปากค้าง มันทำไรได้บ้างฟระ เกือบเท่าราคามอไซต์บ้านเรา นี่เราไปซื้อจักรยานที่โลตัส 1300 บาท แต่ทีเ่ดินดูในร้านที่นี่ ตกคันละครึ่งแสน เฉียดแสนก็มี ข้าน้อยจะเป็นลม คือเป็นจักรยานไว้แข่งน่ะ ต้องทำใจ

Photobucket

ได้จักรายานมาละเราก็ไปตะลอนดีกว่า พกขวดน้ำไป 1 ขวด ( ทำไมฝรั่งชอบดื่มน้ำที่มันซ่า คล้ายๆ โซดาเลย ) มองไปทางไหนก็สวย ก็น่ารักหมด ฟาร์มเขียวๆ มีดอกเยอบีร่าเต็มทุ่งไปหมดเลย มีแม่วัวใส่ต่างหูให้ดูขำๆ อีกต่างหาก ท้องฟ้าก็ ฟ้าได้ใจ มีภูเขาใกล้บ้าน มีลำธารน้อยๆ อะไรมันจะได้ดั่งใจขนาดนี้ เหมือนฝันทุกทีเลย อยู่นานจนเป็นเดือน จึงได้รู้ว่ามันไม่ได้ฝัน มันความจริง

ปั่นเข้าไปที่อำเภอ เป็นอำเภอเล็กๆ (แต่มีโบสถ์ใหญ่ ) เนื่องจากเขตที่อยู่นี้มันที่ราบภูเขา มันก็เลยปั่นขึ้นลง ขึ้นลง ตอนลงน่ะปั่น แต่ตอนขึ้นถ้าไม่ไหวก็จูงเอา 555 ห่างจากบ้านเราแค่ 1 กม เอง ที่นี่เขาไม่มีตำบล มีแต่อำเภอแล้วก็แบ่งเป็นหมู่บ้านเลย หมู่บ้านเรามีแค่ 20 หลังคาเรือนเอง บางหมู่บ้านมี 10 หลังคาเรือนก็มี ที่บ้านเราไม่ได้เนอะ หมู่บ้านใหญ๊ใหญ่ เกือบ 500 หลังคาเรือน 555 (อันนี้หัวเราะนะ ไม่ใช่จำนวน )

Photobucket

ออกเดินทาง จักรยาน แม่วัว ฟาร์ม ลำธาร

Photobucket


ฟาร์ม หน้าโรงเรียนประถม ป้ายบอกทาง ท่ารถบัส (ไม่รู้ว่ามันไปไหน ยังไม่เคยขึ้นเลย หรือบางทีอาจจะเป็นรถรับส่งนักเรียนก็ได้ ) และก็ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง คนที่นี่ชอบเดินภูเขา บางทีเห็นพาครอบครัวไปเดินเล่นทุ่งก็มี เราว่าน่ารักดีอ่ะ (แต่บ้านเราชอบไปเดินห้าง เพราะเย็นดี)

Photobucket


น่าจะเป็นสโมสรนะ มีสนามฟุตบอล สนามเทนนิส แต่ยังไม่เคยไปเล่นเลย ไม่มีไม้เทนนิส (เค้าเรียกว่าไรนะเท่ๆ น่ะ ) ตรงนี้เกือบออกเมืองละ มองกลับไปในเมืองเห็นแต่ยอดโบสถ์ ตอนปั่นจักรยานก็เห็นม้าหลบร่มพอดี ม้าตัวใหญ่มากกก..

Photobucket


โบสถ์ประจำอำเภอ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับอำเภอ ตอนแรกเราไ่ม่รู้ว่ามันคืออำเภอ เพราะมันเขียนว่า Hôtel de commune เราดันเข้าใจว่ามันคือโรงแรมประจำอำเภอเสียอีก โอ๊ย อ๊าย อาย จัง เราไปอำเภอบ่อยมาก เพราะต้องไปรายงานตัว ไปแก้วันที่วีซ่า ไปเดินเรื่องเอกสารแต่งงาน ข้อแตกต่างอำเภอที่นี่กับบ้านเราคือ ที่นี่เงียบจัง คนไปติดต่อน้อย (หรือว่าเรามองไม่เห็น เพราะมีหลายชั้น ) เวลาจะไปทำธุระที่อำเภอ เราต้องโทรศัพท์แจ้งล่วงหน้าทุกครั้ง (ยกเว้นตอนไปซื้อถุงขยะ ไปซื้อได้เลย ) เทียบกับบ้านเรา คนรอทำธุระต่างๆ เยอะมาก 555 เราเปรียบเทียบเหมือนโรงพยาบาลเลยเหมือนคนไข้ไปรอหมอ

Photobucket


หมู่บ้านในอำเภอ ให้อารมณ์แออัดเพราะบ้านเกือบติดถนนเลย 555 ผ่านธนาคารดูจากตึกแล้วไม่เหมือนธนาคารเลย (ยังจำแต่ภาพธนาคารบ้านเรา) คือตึกที่นี่มันเหมือนๆกันหมดเลย ทั้งบ้าน ทั้งสำนักงาน เลยแยกไม่ออก ต้องสังเกตุเอาที่ป้ายด้านหน้า อีกตึกนึงก็เป็นโรงพยาบาล นี่ก็ต้องอ่านป้ายเอาเอง (เหมือนกันหม๊ดเลย)

Photobucket


นี่ก็อีกโรงพยาบาลนึง กับสถานีตำรวจ สังเกตุจากป้าย ส่วนภาพอื่นวิวข้างทาง กับตู้โทรศัพท์สาธารณะที่นี่ (เหมือน กสท บ้านเราป่ะ ) ยังไม่เคยใช้เลย ไม่รู้ว่าต้องหยอดเหรียญอะไร อ่านไม่ออก 555

Photobucket


ป้ายสัญลักษณ์อำเภอ อนุสาวรีย์ของบุคคลสำคัญ น่าจะเป็นผู้ก่อตั้งอำเภอนี้ อีกรูปเป็นไปรษณีย์ (ดูว่าป้ายสีแดง) อีกรูปก็เป็็นป่าช้าฝรั่ง มองข้างนอกก็พอไม่กล้าเข้าไป

Photobucket

Photobucket

จบละสำรวจเมือง ตอนนี้เข้าใจความรู้สึกของนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวเมืองไทย เวลาเขานั่งรถไปเที่ยวที่ต่าง เคยถามว่าแตกต่างกันไหม บ้านไหนสวย เขาบอกว่าไม่แตกต่างเลย เหมือนกันหมด 555 แยกไม่ออก ตอนนี้เราก็เป็นเหมือนกัน แยกไม่ออกเลย อันไหนบ้าน อันไหนตึก<

Tuesday, October 27, 2015

Ep2. ฉันไม่เคยนั่งเครื่องบิน

ในที่สุดได้เวลาแล้วขึ้นเครื่องดีกว่า มองหาเลขที่นั่งของตัวเอง มีคุณลุงคุณป้าคู่นึงนั่งอยู่ก่อนแล้ว เราจองที่นั่งติดหน้าต่าง ลุงกับป้าก็ต้องลุกให้เราเข้าไปข้างในก่อน จะยกกระเป๋าขึ้นวางก็ไม่ไหว เลยเอาวางไว้ที่วางขา ลุงใจดีบอกชั้นยกให้ไหม ก็เลยขอบคุณไป ปากมีก็ไม่บอกเค้านะว่าช่วยหน่อย ไม่หรอกเราเกรงใจต่างหาก 

เครื่องบินลำใหญ่ที่นั่งเท่าไหร่ไม่รู้ เบาะก็โอเค เราสามารถนั่งพับเพียบหรือขัดสมาธิได้ คงเพราะเราตัวเล็ก ฮ่าๆๆๆ สงสารแต่ลุงกับป้าล่ะ ตัวใหญ่คงนั่งไม่สบายเท่าไหร่ หลังจากเครื่องออกได้สักพัก และบินในระดับเพดานปกติ แอร์ก็เริ่มเสิร์ฟอาหารและ มีมาให้เลือกไทยกับฝรั่ง เราเลือกอาหารไทย เป็นข้าวผัดอะไรสักอย่างลืมแล้ว และขอน้ำชามาดื่ม แล้วก็โค้ก แต่กินได้นิดเดียวเพราะว่าจืดมาก สักพักนึกได้ว่าเราไม่ควรกินน้ำเยอะเพราะจะทำให้เข้าห้องน้ำ เลยดื่มอย่างละหน่อย เฮ้อ เรื่องอาหารก็เป็นปัญหาตั้งแต่ขึ้นเครื่องนี่ล่ะนะ กินเสร็จแล้วรีบนอน ที่รักบอกว่าให้ดื่มวอดกา เราไม่ดื่มหรอก กระนั้นก็นอนได้ เรานอนหลับก่อนที่แอร์จะมาเก็บอาหารคืนด้วยซ้ำ รู้สึกตัวตอนดึกมา อ้าวมาเก็บตั้งแต่เมื่อไหร่นี่ สงสัยป้าแกหยิบส่งให้แน่เลย ก็เลยนอนต่ออีก

ตื่นมาก่อนเครื่องลง ๒ ชม ตอนนี้สว่างแล้ว พอดีช่วงที่เรานั่งมันใกล้ปีกเครื่องบิน ก็เลยได้เห็นปีกเครื่องบิน กระเพื่อมขึ้น ลง เห็นแต่เมฆขาวๆ เป็นก้อนๆๆ ท่าจะนุ่มเหมือนปุยฝ้าย อยากรู้จังสูงเท่าไหร่ตอนนี้ นึกถึงละครจักรๆวงศ์ๆ ตอนที่พระเอกเหาะขึ้นฟ้า ฮ่าๆๆ สักพักแอร์ก็มาแจกอาหารเช้า วันนี้เลือกกินอาหารฝรั่ง ก็เหมือนเดิมกินไม่ค่อยได้ มีสลัดผลไม้มา กะโยเกิร์ต ก็ได้ช่วยพยุงท้องไป พอใกล้ถึงอัมสเตอร์ดัม เครื่องบินลดระดับลง เราก็ค่อยมองเห็นแผ่นดิน เห็นน้ำ เห็นทะเล เห็นกังหันลม เห็นอะไรไม่รู้เป็นแปลง เดาว่าแปลงทิวลิป ก็นี่มันเนเธอร์แลนด์นี่ แล้วเครื่องก็แลนดิ้ง ก็ไม่สะเทือนเท่าไหร่ ขอบคุณไชน่าแอร์ไลน์ที่มาส่งเราถึงที่นี่ด้วยความปลอดภัย

นี่เราต้องต่อเครื่อง ดีจังไม่ต้องวิ่งไปหากระเป๋า ไปรอเอาตอนออกลักเซมเบิร์กเลยทีเดียว ลงเครื่องปุ๊บก็ปวดฉี่ วิ่งหาห้องน้ำ พยายามมองป้ายข้างบนไว้ ตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่าเย็น หาสักพักก็เจอ โอ๊ย ปรานี หน้าตาดูไม่ได้เลย นอนซะหน้ายับยู่ยี่ พอเข้าห้องน้ำเสร็จ หาที่กดน้ำไม่เจอ เลยเดินออกมาซะอย่างนั้น น่าอายไหมล่ะ พอจะล้างมือนี่สิ หนาวสุดๆ เย็นยังกะน้ำแข็งแช่ ก็เลยได้แต่แตะๆเอามาลูบที่ตา อมๆๆ บ้วนปาก

แล้วก็ลากกระเป๋ามองหาประตูที่ต้องไปต่อเครื่อง เห็นแล้วล่ะ แต่ไปถามประชาสัมพันธ์อีกทีเพื่อความมั่นใจ พอไปตรงประตู เห็นคนต่อแถวเยอะ เลยเข้าใจว่าเป็น ตม เราเลยเตรียมพาสปอร์ตออกมา หัวดำอยู่คนเดียว เห็นมีแต่หัวแดง เคยอ่านเจอว่าถ้า ตม เห็นหัวดำมาคนเดียวเขาจะเน้นพิเศษ เพราะชื่อเสียงหญิงไทย แต่พอเราเอาให้ดูก็ไม่ถามอะไรมาก “มาหาใคร” ”มาหาเพื่อน ที่อยู่ตามกระดาษที่แปะด้านหลังพาสปอร์ต” เค้าก็พลิกดูหน่อย แล้วก็แสตมป์ให้ผ่าน เฮ้อ ค่อยโล่งอกหน่อย ผ่านตม ได้ ก็ต้องมาตรวจกระเป๋าอีกรอบ กลัวจังเลย กลัวเค้าว่าเราขนน้ำหนักเกิน แต่ก็ไม่มีอะไร ผ่านมาได้อีก ตรงนี้ยังงง ว่ามาถูกได้ไง

พ้นตรงนั้นมาแล้วก็มาถึงที่พักผู้โดยสารคนที่รอขึ้นเครื่อง ก็เจอร้านขายของต่าง ๆ เป็นพวกดิวตี้ฟรี ทั้งหลาย ชักจะหิวแล้วสิแต่ไม่มีเงิน พอค้นกระเป๋าดู โชคดีมีเกระปุกที่เราพกเหรียญ มีเหรียญยูโรประมาณ ๓๐ ยูโร มีแต่เหรียญละ ๒ ยูโร ทั้งนั้นเลย ไปหาไรกินดีกว่า เดินวนตั้งนาน ไม่รู้จะกินอะไร ได้น้ำมา ๑ ขวด แอ๊ปเปิ้ล ๑ ลูก และลูกอมเยลลี่ ๑ ถุง หมดไป ๖ ยูโร ตอนจ่ายตังค์ก็ดูว่าเค้าจ่ายยังไง พนักงานแคชเชียร์ให้โชว์ตั๋วเครื่องบินด้วย เราก็เลยเตรียมไว้ตั๋วที่ต่อไปลักเซมเบิร์ก หาที่นั่งได้ก็จัดการอาหารทันที 

แล้วนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เปิดมือถือเลย พอเปิดปั๊บข้อความเข้าทันที ที่รักโทรมาแล้ว ๓ รอบก็เลยส่งข้อความไปว่า”ปรานีมาถึงอัมสเตอร์ดัมแล้วค่ะ” ก่อนมาที่นี่เราได้เปิดโรมมิ่งไว้ เพื่อใช้เบอร์นี้ที่ต่างประเทศไทย ค่าบริการรับสายอย่างเดียวนาทีละ ๖๐ บาท ถ้าโทร เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว ส่งครั้งละเท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว สักพักที่รักก็โทรมาหา บอกว่ารออยู่ที่บ้านนะ แล้วเจอกัน คุยกันได้สักสายก็ตัดไป คงเพราะเงินหมดแล้ว ช่วงนี้ก็ติดต่อกันไม่ได้เลย

เราก็ลากประเป๋าไปนั่งจ่อที่ประตูเพื่อรอบินไปลักเซมเบิร์ก ไม่เหลวไหล ไม่อยากดูอะไรทั้งสิ้น นั่งรอเครื่องไปก็นึกไปว่าเราต้องเช็คอินที่ไหนก่อนไหมเนี่ย ถือบอร์ดดิ้งพาสมาตั้งแต่กรุงเทพฯแล้ว คิดแต่ว่าไม่น่ามีปัญหา เขาคงโคว์กันล่ะน่า เรานั่งหัวดำคนเดียวอีกละ ดื่มน้ำเยอะไปหน่อยวิ่งเข้าแต่ห้องน้ำ เข้าห้องน้ำ ๓ ครั้ง ถึงหาที่กดน้ำได้เราเซ่อมาก เฮ้อ ช่วงนี้รอมาราธอน ลงเครื่อง ๙ โมง ๒๐ รอเครื่องออกอีกที ๑๔ โมง ๒๐ รอไปเลย ๕ ชั่วโมง

และแล้วก็ได้เวลาเครื่องออก ต้องนั่งรถบัสออกไปขึ้นเครื่องล่ะ พอออกจากตัวอาคารไปขึ้นรถบัส ถึงได้รู้ว่าความหนาวเหน็บมันเป็นอย่างไร ฝนก็ตกหน่อยๆ ลมก็พัด หนาวให้ตายสิ ใส่เสื้อกล้าม และเสื้อแขนยาวแบบกันแดด แค่นั้นเอง
เครื่องบินที่ต่อนี้เป็นลำเล็ก ที่นั่งไม่มาก เราก็ได้นั่งติดหน้าต่างอีก อยากเห็นวิว ฝนตกก็ให้นึกกลัว แต่เคยอ่านหนังสือเจอ บอกว่าไม่ต้องกลัวเพราะเดี๋ยวเครื่องบินก็บินฝ่าฝนขึ้นไปเหนือเมฆแล้ว 

แต่ว่าเครื่องบินนี้มันบินไม่ไกล ไม่นานแค่ ๑ ชม ๒๐ นาที ระดับเพดานบินไม่สูงมาก ช่วงแรกก็ยังโอเค นิ่งๆ แอร์มาเสิร์ฟน้ำ ขนม เราก็เอาทั้งสองอย่าง เพราะเสียค่าเครื่องบินมาแล้วต้องกินให้คุ้ม แต่ก็ไม่กินหรอก เอาไว้อย่างนั้นล่ะ นั่งตรงปีกอีกแล้ว รู้สึกว่าจะได้ที่นั่งกลางลำทุกทีเลย ปีกมันก็ขึ้น ลง แล้วก็เอียง ทำเอาเสียวท้องเหมือนกัน จนต้องหันหน้ามามองในเครื่องแทน มีช่วงนึงมันสั่น เราก็ตกใจจับที่วางแขนแน่นเลย พอจะลงก็ไม่ค่อยนิ่มเท่าไหร่ กลัวมากเลย นึกถึงเจ้าพ่อ เจ้าที่ เจ้าทาง สวดมนต์ บอกไหนๆ ก็ให้ลูกมาแล้ว ส่งลูกให้ถึงฝั่งด้วยนะคะ 

พอเครื่องแลนด์ดิ้ง ก็เฮ้อ รอดตายแล้วปรานีเอ๊ย แล้วเราก็ต้อเดินฝ่าความหนาวและสายฝนปรอยไ ไปที่ตัวอาคารผู้โดยสาร อ้อ เดินขึ้นรถบัสไป อากาศหนาวเย็นดีจริงๆ เข้าตัวอาคารได้ ก็เข้าห้องน้ำเลย สำรวจตัวเองสักหน่อย เดี๋ยวจะเจอที่รักแล้ว บ้วนปาก ทาลิป ตอนนี้เริ่มมีบทสนทนาที่เป็นภาษาฝรั่งเศสแล้ว ไม่มีภาษาอังกฤษแล้ว สมองเริ่มเปลี่ยนโหมดทำงาน เตรียมขุดหาคำศัพท์ฝรั่งเศสที่มีอยู่น้อยนิดของเรา 

จากนั้นเสร็จแล้ว ตั้งใจว่าจะเดินออกไปช้าๆ แกล้งคนมารอสักหน่อย คิดว่าต้องเจอ ตม ตรวจอีกแน่ แต่ไม่เห็นมี พอเดินออกไปที่รอกระเป๋าก็เห็นคนรออยู่เลย เหมือนสนามบินภายในประเทศที่ดอนเมือง เราก็ไปยืนรอด้วยเหมือนกัน ไปเอารถเข็นมาก่อน ได้มาแล้ว ลากมาทางออก ดีจังสนามบินเล็ก คนน้อย เลยเจอกระเป๋าไว แล้วก็มาหาคนมารอรับ จะมาไหมน๊า ถ้าไม่มาเราจะทำไงเนี่ย แล้วก็เห็นยืนรออยู่ ยิ้มแป้นเชียวที่รัก นึกว่าจะไม่มารับน้องซะแล้ว อากาศหนาวมาก จุมพิตและสวมกอด ๑ ที เสียเวลานานไม่ได้ค่ะมันหนาว ที่รักถอดเสื้อให้ใส่ ๑ ตัว แล้วก็ช่วยกันลากกระเป๋าไปขึ้นรถ

เราลากใบเล็กที่รักลากใบใหญ่ ถึงตอนนี้เพิ่งรู้ว่าคันชักลากมันหัก โห ทำไมไม่ถนอมกระเป๋าเราหน่อยนะ โยนกันยังไงเนี่ย จอดรถตรงไหนคะ ทำไมไกลจัง บ่นเลยล่ะ เมื่อย และก็อยากอ้อน ฮ่าๆๆๆ มาถึงรถได้โอ้โห คันใหญ่ทีเดียว เอากระเป๋าไว้หลังรถ เราก็จะขึ้นรถแต่ชินเมืองไทยไปขึ้นทางซ้าย อ้าว ทำไมมีพวงมาลัย ที่รักถาม ปรานีจะขับรถเหรอ ฮ่าๆๆๆ เอาแล้วตู หน้าแตกบทที่ ๑ ก็เลยต้องเปลี่ยนที่นั่ง ที่รักมาเปิดประตูให้ มีดอกไม้ให้เรา ๑ ดอก ต้อนรับ แล้วก็จุ๊บอีก ๑ ที

เอาล่ะ ขับรถออกมา ปรานีเริ่มตื่นเต้นกับรถแล้ว แล้วเหลือบไปเห็นที่แสดงอุณหภูมินอกรถ แม่เจ้า ๔ องศา มิน่าล่ะ เราถึงหนาวไปถึงกระดูกเลย สำรวจรถแล้ว ที่รักก็เริ่มเปิดแอร์ร้อน เอ๊ย จริงอ่ะ แอร์ร้อน ที่บ้านเรามันแอร์เย็นเนาะ เอาล่ะ ชีวิต ๒ ขั้วโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว พอจ่ายตังค์ค่าที่จอดรถ ก็ไม่มีคนมารับบัตรเลย เอาบัตรเสียบไป แล้วหยอดเงิน ว้าว สุดยอด ฮ่ๆๆๆ บ้านนอก ๆๆๆ ไปบ้านเรากันเถอะ

บันทึก เมษายน ๒๐๐๘




Ep.1 ฉันจะบิน บินไป


๒๘ เมษายน ๒๕๕๑
จะเดินทางแล้วเหรอเนี่ย ๑๒ เมษายน กระเป๋าจัดเสร็จตั้งแต่เมื่อวาน ยัดเข้ายัดออก ซื้อมาใบ ๑ แต่มันใหญ่ไปใส่ของไปจะ ๓๐ กก ยังไม่เต็มเลย ต้องเปลี่ยนเอาใบเก่าที่ซื้อมานานแล้วจัดได้เป็นกระเป๋าโหลดกะลากค

รึ่งเครื่อง ชั่งน้ำหนักแล้วเกินมาเกือบ ๑๐ กก ทั้ง ๒ ใบ เพราะกระเป๋าจุกจิกของเราอีกต่างหาก

เช้านี้มีญาติๆ มาผูกแขนให้เพราะจะเดินทางคืนนี้แล้ว ผูกแขนเสร็จชั้นก็เดินสายอาบน้ำมนต์ กลับมาก็เกือบได้เวลาแล้ว อาบน้ำแต่งตัวรอรถนัดไว้ ๕ โมงเย็น แต่กว่าจะได้ออกจากบ้านเกือบทุ่มแล้ว วันนี้วันสงกรานต์คิดว่ารถคงออกจากกรุงเทพเยอะ แวะไปรับน้องชายที่อยุธยา เกือบ ๔ ทุ่มแล้ว กว่าจะได้ออกมาเกือบ ๕ ทุ่มเพราะพากันกินก๋วยเตี๋ยวก่อน คิดว่าจากนี้ไปสนามบินน่าจะทัน ๑ ชม ไปถึงก่อนเที่ยงคืนแน่นอน

ขับรถมาสายมอเตอร์เวย์พอเข้าเขตลาดกระบัง ให้ตายสิรถติดจัง ไม่ขยับเลย นี่ชั้นจะตกเครื่องไหมเนี่ย เจอพิษสงกรานต์แล้วไหมล่ะ พอรถออกตัวได้ค่อยโล่งหน่อย บอกคนขับจอดรถประตู ๘ เลยนะ รถจอดได้รีบวิ่งเข้าห้องน้ำให้น้องชายลากกระเป๋ามาตาม แล้ววิ่งมาที่เคาเตอร์เช็คอิน แถวโล่งเลยเพราะเค้าใกล้ปิดแล้ว เจ้าหน้าที่ดูพาสปอร์ต ถามเดินทางครั้งแรกหรอค่ะ ตอบไปตามนั้นแถมเราก็ไม่ขอความช่วยเหลืออะไรเลย ทั้งๆที่ไม่เคยเดินทาง แถมต้องต่อเครื่องอีกต่างหาก ลากกระเป๋ามาชั่ง น้ำหนักเกิน แต่เจ้าหน้าที่ก็หยวนๆ ให้ หารู้ไม่ว่ากระเป๋าก๊อกแก๊กอีก ๒ ใบเราไม่เอามาให้ดู

เสร็จธุระก็มาคุยกับพ่อแม่น้าป้าน้อง คืนนี้มีญาติเราที่เดินทางมาจากอเมริกา เครื่องลงแล้วด้วย ก็เลยมส่งเราด้วยพอดี คิดดูสวนทางกันทางเครื่องบิน ตลกดี เค้ามาเราไป ไม่ได้เจอกับป้าคนนี้นานแล้ว ป้ายังเหมือนเดิมเลย ส่วนเราก็แก่ทันป้าแล้ว
ตั้งใจว่ามาถึงจะพาญาติๆทัวร์สนามบินสักหน่อย แต่เวลาไม่อำนวย ใกล้ตี ๑ แล้ว ต้องไปต่อแถวเช็คพาสปอร์ตผ่านตม. อีก ลาแล้วนะพ่อจ๋าแม่จ๋า มาขอกอด ๑ ที เราก็รีบเข้าไป คนมาส่งจะได้ไม่ต้องกลับบ้านดึก

ตรวจ ตม ที่รักก็โทรมา มัวแต่คุยโทรศัพท์จนเจ้าหน้าที่เคาเตอร์ไล่ไปอีกเคาเตอร์ ๑ มือก็กรอกไปคุยไป จนเจ้าหน้าที่อีกคนช่วยกรอกให้ จริงๆจะวางแล้วคุยไม่นาน แต่เจ้าหน้าที่ใจร้อนจัง คนผู้หญิงคงหมั่นไส้ หนอยแน่นังเมียฝรั่ง


ผ่านมาแล้ว ตม ตรวจกระเป๋าอีกรอบ เสร็จละลงไปรอเครื่อง ทำไมทางชันจัง เออ ทำไมไม่เห็นนาคกวนเกษียณสมุทรล่ะ หรือว่าเรามาผิดทาง โอ๊ย ร้านค้าอะไรเนี่ยเยอะแยะ อ้าวนึกได้ ลืมกดเงินมาแลกเงินยูโร โทรศัพท์ตังค์หมด ไม่ได้เติม โทรไปบอกน้องชายเติมเงินให้หน่อยผ่านเอทีเอ็ม เค้าก็เติมให้แต่ขอบ่น ๒ นาทีที่เราไม่เตรียมพร้อม ในนี้ไม่มีตู้เอทีเอ็มด้วย สรุปไม่มีเงินติดกระเป๋าเลย โทรหาแม่ว่าถึงไหนแล้ว พอดีแม่บอกเราว่าเจอกระเป๋าเราตกในรถ คงเป็นช่วงล้วงเข้าออกมือถือแหงเลย แหวนทองที่จะเอามาให้ที่รักก็อยู่ในนั้นด้วย ก็เลยบอกแม่ เก็บไว้ก่อน เดี๋ยวมาเอาทีหลัง

มานั่งรอเครื่อง ที่รักโทรมาอีกรอบ เราก็รายงานไป ตอนนี้รอเครื่องค่ะ พ่อกับแม่มาส่งกลับไปแล้ว บลาๆๆๆๆ เกือบครึ่งชั่วโมง ขอบคุณนะที่โทรมาเป็นเพื่อน รู้ว่าเรากลัวเครื่องบิน บอกเราให้ดื่มวอดกาแล้วก็หลับไปเลย ตื่นมาก็ถึงอัมสเตอร์ดัมพอดี ตอนนี้เริ่มนิ่งๆละ นี่ชั้นจะไปไหนเนี่ย จะไปหาผู้ชายเหรอ ตายแล้วปรานี บ้าไปหรือเปล่า คิดช้าไปหรือเปล่าฮ่าๆๆๆ
เอาวะไหนๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เดินหน้าต่อไป เราไม่ใช่คนแรกในโลกหรอกนะ กรรมดีที่ทำไว้คงส่งผลให้เราได้ดิบได้ดีกับเขาบ้าง ช่วงนี้ก็นั่งดูหน้าผู้โดยสารคนอื่นไป เค้าก็นั่งฟังเพลง อ่านหนังสือ โทรศัพท์ เราก็หยิบเพลงมาฟังบ้างรอเวลาเครื่องออก


และแล้วก็ได้เวลาตรวจบอร์ดดิ้งพาส วีไอพีไปก่อน ชั้น ๑ ไปก่อน คนที่ต้องการคนดูแลไปก่อน ส่วนพวกชั้น ๓ อย่างเรา ชั้นประหยัดสุดท้าย ฮ่าๆๆๆ 

Monday, October 26, 2015

Welcome to life in belgium

Welcome to life in Belgium.
How glad to know that blogger can add more blog.
Yes, I can put what I love to share here as on bloggang.
Love you and thank you.